Formation of the modal conjugations

1. Formation of the modal conjugations

All of the modal verbs are used as auxiliaries, and all of them form conjugations in the same way.
Thus, the other modal auxiliaries form conjugations in the same way as will and would. For instance, the conjugation of the modal auxiliary could with the verb to work is formed as follows:

Conjugations of the modal auxiliary Could with the verb To Work

Simple Continuous

I could work I could be working

you could work you could be working

he could work he could be working

she could work she could be working

it could work it could be working

we could work we could be working

they could work they could be working

Perfect Perfect Continuous

I could have worked I could have been working

you could have worked you could have been working

he could have worked he could have been working

she could have worked she could have been working

it could have worked it could have been working

we could have worked we could have been working

they could have worked they could have been working

The formation of conjugations using the modal auxiliaries can be summarized as follows

Conjugation Auxiliary Verb Form

Simple modal auxiliary bare infinitive

Continuous modal auxiliary + be present participle

Perfect modal auxiliary + have past participle

Perfect Continuous modal auxiliary + have been present participle

Verbs in the Simple conjugation with a modal auxiliary generally refer to present or future time; whereas verbs in the Perfect conjugation with a modal auxiliary generally refer to past time.Verbs in the Continuous conjugation with a modal auxiliary generally refer to continuous, ongoing actions in present or future time; whereas verbs in the Perfect Continuous conjugation with a modal auxiliary generally refer to continuous, ongoing actions in past time.

I will do it และ I would do it

I will do it... นั้น ยังไงๆก็แปลว่า "ฉันจะทำมัน"
ไม่ว่าบริบทจะตามมาด้วยอะไรก็แล้วแต่ มันคือหน้าตาของ Future Simple Tense นั่นเองจ้า
เช่น I will do it if you want to go. (ฉันจะทำมัน ถ้าคุณต้องการไป)
แต่ I would do it... นั้น ไ
ม่จำเป็นต้องเป็น Future Simple Tense นะจ๊ะ
เนื่องจากมันจะขึ้นอยู่กับบริบทที่ตามมาเช่น I would do it when I was young. (ฉันทำมัน เมื่อฉันยังเด็ก)ในตัวอย่างนี้
เราจะใช้ Helping Verb = would เพื่อสื่อถึงการกระทำที่เรามักทำเป็นประจำ หรือเป็นนิสัยในอดีตหรืออีกตัวอย่างนึง
เช่นI would do it if you would like to go. (ฉันจะทำมัน ถ้าคุณต้องการไป)
สำหรับตัวอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่าเราสามารถใช้ would เพื่อสื่อถึงเรื่องในอนาคต (Future)
ได้โดยเราจะใช้ would เพื่อทำให้ประโยคมีความไพเราะมากขึ้น
และมีความ balance กันกับบริบทที่ตามมาเพราะว่าใช้ would like ซึ่งเป็นคำที่เพราะๆ ของคำว่า
want นั่นเองสรุปดีกว่านะจ๊ะสรุปคือ เ
ราจะใช้ will ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของ Future
แต่เราจะใช้ would ก็เพื่อบ่งบอกนิสัยในอดีตหรือเพื่อความไพเราะของประโยค (ไม่จำเป็นต้องเป็น Future)แต่ทั้งสองตัวมีความเหมือนกันตรงที่เป็น Helping Verb
ประเภท Modal เหมือนกัน
เราจึงต้องใช้ Verb ที่จะตามหลังทั้ง will และ would ในรูปดั้งเดิม (Vw) เสมอจ้า...

Conditional sentences

The conditional sentences are sometimes confusing for learners of English.
Watch out:
1) Which type of the conditional sentences is used?
2) Where is the if-clause (e.g. at the beginning or at the end of the conditional sentence)?
There are three types of the if-clauses.
type
condition
I
condition possible to fulfill
II
condition in theory possible to fulfill
III
condition not possible to fulfill (too late)
Form
type
if clause
main clause
I
Simple Present
will-future (or Modal + infinitive)
II
Simple Past
would + infinitive *
III
Past Perfect
would + have + past participle *
Examples (if-clause at the beginning)
type
if clause
main clause
I
If I study,
I will pass the exam.
II
If I studied,
I would pass the exam.
III
If I had studied,
I would have passed the exam.
Examples (if-clause at the end)
type
main clause
if-clause
I
I will pass the exam
if I study.
II
I would pass the exam
if I studied.
III
I would have passed the exam
if I had studied.
Examples (affirmative and negative sentences)
type

Examples


long forms
short/contracted forms
I
+
If I study, I will pass the exam.
If I study, I'll pass the exam.
-
If I study, I will not fail the exam.If I do not study, I will fail the exam.
If I study, I won't fail the exam.If I don't study, I'll fail the exam.
II
+
If I studied, I would pass the exam.
If I studied, I'd pass the exam.
-
If I studied, I would not fail the exam.If I did not study, I would fail the exam.
If I studied, I wouldn't fail the exam.If I didn't study, I'd fail the exam.
III
+
If I had studied, I would have passed the exam.
If I'd studied, I'd have passed the exam.
-
If I had studied, I would not have failed the exam.If I had not studied, I would have failed the exam.
If I'd studied, I wouldn't have failed the exam.If I hadn't studied, I'd have failed the exam.
* We can substitute could or might for would (should, may or must are sometimes possible, too).
I would pass the exam.
I could pass the exam.
I might pass the exam.
I may pass the exam.
I should pass the exam.
I must pass the exam.

will/would

กรณีที่เรื่อง Tense , will และ can จะเป็นช่อง 1(ปัจจุบัน)
ส่วน would และ could จะเป็นช่อง 2(อดีต) ค่ะ
เช่น
- I can go to bed at 10 o'clock. (ปัจจุบัน)
- I could go to bed at 10 o'clock last night. (อดีต)
นอกจากนี้ Would ยังใช้ในการบอกว่าชอบ, ต้องการได้เช่น
I would like some cake.
เวลาถามก็ Would you like to order a dessert? (คุณต้องการสั่งของหวานป่าวค๊า)
นอกจากนี้ ในการขอให้ช่วย เรายังใช้ Can กะ Could ได้ซึ่งการจะใช้ Can หรือ Could ดีนั้น จริงๆ แล้วส่วนใหญ่มักจะใช้ Can กัน ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว การที่ใช้กับเพื่อน เราจะใช้ Can แต่กรณีคุณครู ผู้ใหญ่กว่าจะใช้ Could เพื่อความสุภาพกว่าเช่น
- Can I help you?- Can I go with you?
- Could you please give me a phone ?
- Could I borrow your bicycle?

โครงสร้าง = is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing

1.ใช้กับการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่หรือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในขณะที่พูด โดยมาก จะมีadverb of time อยู่ในประโยคด้วย ได้แก่
at present = ขณะนี้ for the time being = ขณะนี้ at the moment = ขณะนี้ now = ขณะนี้
2.ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน หรือที่เกิดขึ้นในระยะยาวแต่อาจไม่ได้กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เช่น - The headmaster is writing a book. -He is working for a well-know firm.
3.ใช้แทน future tenseกรณีเหตุการณ์หรือการกระทำในอนาคตอันใกล้ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเป็น้เช่นนั้น มักเป็นกริยาที่เกี่ยวกับการเครื่อนไหว เช่น very soon.
4.มีกริยาบางคำใช้ใน prresent continuous แต่นิยมใช้ใน present simple คือกริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสหรือภาวะของจิตใจ เช่น adore = บูช hate = เกลียด look = มองดู smell = ได้กลิ่น appear = ปรากฏ hear = ได้ยิน love = รัก taste = ลิ้มรส believe = เชื่อ hope = หวัง see = เห็น thiink = คิด fell = รู้สึก know =ทราบ seem =ดูเหมือนว่า want = ต้องการ
เช่น -I hate cats. (ไม่ใช่ I am hating cats.)
# ยกเว้นกริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัส เช่นfeel,hear,see,small,tasteถ้านำไปใช้ในความหมายอย่างอื่น
ที่มิใชความหมายเดิมของมันก็ใช้ใน present continuons ได้

Present continuous

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )
หลักการใช้
1. เมื่อการกระทำดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (ขณะพูด) และต่อเนื่องมาถึงบัดนั้น และจบในอนาคต เช่น
My uncle is listening to the radio.(ลุงของผมกำลังฟังวิทย)ุ
What is he doing? (เขากำลังทำอะไรเหรอ?)
2. การกระทำที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นขณะนั้นจริง เช่น
More and more people are using Internet. (ผู้คนเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทุกที)
Accidents are happening more and more frequently. (อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น)
3. แสดงเหตุการณ์ในอนาคต เกิดขึ้นแน่นอน เช่น
We are planning to go to the beach next week. (พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า)
She is going abroad next Tuesday. (หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า)
4. ถ้าประโยคเชื่อมด้วย and ( 2 ประโยค) ให้ตัด Verb to be ที่อยู่หลัง and ออก เช่น
My father is smoking a cigarette and watching television. (คุณพ่อของฉันกำลังสูบบุหรี่และดูโทรทัศน)์
*กริยาที่นำมาใช้ใน Tense นี้ไม่ได้!!!*
1. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น
I see the beautiful mountain.(ฉันดูภูเขาอันงดงาม) ไม่ใช้ I am seeing the beautiful mountain.
2. กริยาที่แสดงถึงภาวะของจิต, แสดงความรู้สึก, ความผูกพัน ไม่นิยมนำมาใช้ เช่น
I know him very well (ผมรู้จักเขาดี) อย่าใช้ : I am knowing him very well.
He believes that taxes are too high.(เขาเชื่อว่าภาษีแพงเกินไป) อย่าใช้ : He is believing that taxes are too high.
หลักการเติม -ing
1). กริยาที่ลงท้ายด้วย E ให้ตัด E ทิ้ง แล้วเติม -ing
2). กริยาที่ลงท้ายด้วย EE ให้เติม -ing ได้เลย
3). กริยาที่ลงท้ายด้วย IE ให้เปลี่ยนเป็น Y ก่อน แล้วเติม -ing
4). กริยาที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว พยางค์เดียว เพิ่มตัวสะกดอีกตัวหนึ่ง แล้วเติม -ing
5). กริยาที่มี 2 พยางค์ออกเสียงหนักที่พยางค์หลัง มีสระและตัวสะกดตัวเดียว เพิ่มตัวสะกด แล้วเติม -ing
6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี้ เพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้
[แบบอเมริกัน] : travel => traveling, quarrel => quarreling
[แบบอังกฤษ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling

Present simple

หลักการใช้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
The cat has four legs. (แมวมีสี่ขา)
2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นปรกตินิสัย หรือการกระทำนั้นเกิดขึ้นเป็นประจำ มี Adverb of Frequency แสดง
I have my breakfast everyday. (ผมรับประทานอาหารเช้าทุกวัน)
Everybody wears thick clothes in winter. (ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว)
We go to temple every Sunday. (พวกเราไปวัดทุกๆ วันอาทิตยì)
3. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสภาพที่เป็นปัจจุบัน เช่น
She understands what you say. (เธอเข้าใจที่คุณพูด)
I have four notebooks in the suitcase. (ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋า)
4. ใช้แสดงถึงการกระทำในอนาคต ซึ่งตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ
The next semester begins in two weeks. (อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิดเทอมหน้า)
He sets sail on Saturday for Samui. (เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์)

Present simple

Present Simple Tense คือประโยคที่มีประธานตัวเดียวและกริยาตัวเดียว เป็นประโยคแบบง่ายๆ
ประกอบด้วย
Subject + Verb 1 + (Object).
ชนิดของประโยค
1. ประโยคบอกเล่า จะเขียนเรียงประโยคดังนี้ Subject + Verb1 + (Object). เช่น
She studies English four times a week.
We study Thai everyday.
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ ( He, She, It, Tom, My sister, Chip ) ที่คำกริยา
จะต้องเติม s หรือ es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ ( They, We, You, I, My sisters, Chip and Trig )
ที่คำกริยาคงไว้เหมือนเดิม
2. ประโยคคำถาม จะต้องนำ Verb to do ( Do , Does ) มาวางไว้หน้าประโยคดังนี้
- ประธานเป็นเอกพจน์ เขียน Does ไว้หน้าประโยคและให้ตัด s หรือ es ที่คำกริยาออก คงไว้รูปเดิม
อย่าลืม ประธานจะต้องเขียนเป็นตัวเล็ก ยกเว้นชื่อ และ I ต้องเขียนตัวใหญ่เสมอ และที่ท้ายประโยค
ต้องใส่เครื่องหมาย ? ด้วย
Does she study English Four times a week ?
Does Chip come from another planet ?
- ประธานเป็นพหูพจน์ เขียน Do ไว้หน้าประโยค อย่าลืมใส่เครื่องหมาย ?
Do you study Thai everyday ?
Do they like swimming and windsurfing ?
3. ประโยคปฏิเสธ จะต้องใช้ Verb to do (do, does) + not = do not (don’t),
does not (doesn’t) ตามด้วยคำกริยาแท้รูปเดิม ดังนี้
- ประธานเป็นเอกพจน์ ใช้ does not + verb รูปเดิม เช่น
She does not study English four times a week.
Chip does not come from the earth.
- ประธานเป็นพหูพจน์ ใช้ do not + verb รูปเดิม เช่น
We do not study Thai everyday.
They do not like to eat fish.

Adverbs ที่ใช้ในประโยค Present Simple Tense เราเรียกว่า Adverb of Frequency เป็น Adverb ที่นำมาขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำกริยานั้นๆ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย เช่น
always แปลว่า สม่ำเสมอ 100 %
usually แปลว่า เป็นประจำ 80 %
often แปลว่า บ่อยๆ 60 %
sometimes แปลว่า บางครั้งบางคราว 30 %
seldom แปลว่า นานๆครั้ง 10 %
never แปลว่า ไม่เคย 0 %
Examples:
She always goes to school early.
Malee usually cooks dinner.
They often drink milk.
Somsak seldom visits his grandma.

Present simple

Present Simple Tense – S+V.1 •เหตุการ์ที่เป็นความจริงเสมอ เช่น The sun rises in the east.
•นิสัย หรือ สิ่งที่กระทำซ้ำๆซากๆ เช่น He always wakes up at 6 o’clock.
•แสดงอาการ เช่น I don’t like action films.
•คำแถลงการณ์ คำประกาศ เช่น He pledge his loyalty to the country.
•ใช้ในพาดหัวข่าว เช่น Car bombs in the city.
•คำสั่ง ขั้นตอน หรือ รายการท่องเที่ยวเช่น Heats water to boil then add 2 tea-spoon sugar. หรือ We visit Edinburgh o­n day four.
•เรื่องโดยสังเขป การสรุปเหตุการ์ เช่น May 1945: The war in Europe comes to an end.
•ในการบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต หรือ การเล่าเรื่องตลก เราสามารถใช้ Present Simple เพื่อ เพิ่มความตื่นเต้น เช่น The police break in and arrest a suspect after 12 hours of negotiate.
•ใช้กับเหตุการณ์ที่จะกำหนดจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความประสงค์ของผู้พูด เช่น
Tom retires in 3 years.
เมื่อต้องการใช้ Present Simple Tense เป็นคำถามหรือ ปฏิเสธ ให้นำ do หรือ does มาช่วย และ กริยาที่ตามหลังมาต้องเป็นช่อง 1 เสมอ เช่น
The sun does not (doesn’t) rise in the west.Does she have any problem?What course do you take?
กฏการเติม –s, -es
กริยาปกติ เติม –s ได้เลย เว้นแต่
1.ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z เติม –es
2.do และ go เติม –es
3.ลงท้ายด้วย y หน้า y เป็น พยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -es

First of all, what is a "Problem-Solution" essay? Basically, it is any essay that starts by identifying a problem (or problems) and then proposes one or more solutions. It is quite common to be asked to write a "Problem-Solution" essay in school: the example below is based on a task in Grade 6 Humanities at UWCSEA.
Read the text and do the following tasks:
1.Mark the section of the text that outlines the problems. (How many are there?)
2.Mark the section that proposes solutions. (How do you know where this section begins?)
3.Mark the section that justifies the solutions and calls for action.
4.Underline all the linking words/phrases in the text. (Firstly, For example, etc.)
5.Underline (with a wavy line) all the phrases that tell us something about results.
There are numerous health problems in shanty towns. Firstly, because the sites are illegal the government does not provide piped water. As a result, drinking and bathing water are usually dirty and this causes diseases such as dysentery, typhoid and hepatitis, as well as skin and eye diseases. Secondly, houses are often overcrowded and have poor air circulation. This makes it easier to catch diseases like flu, TB and diphtheria where infection enters through the throat. Thirdly, there are no drains, sewers or rubbish collection services. The resulting pools of stagnant water and heaps of household waste attract rats and insects, which can pass on diseases.
The government could do a lot to solve these problems. For example, they could supply clean, piped water to individual houses or, at least, to neigbourhoods. This would make drinking water safe and reduce infections. In addition, the authorities could provide householders with building materials to improve their conditions and educate them about the importance of ventilation. Lastly, the city council could construct drains and provide a rubbish collection service to reduce the risk of infections spread by rats and insects.
If the government took these steps, the result would be a safer, healthier environment. Furthermore, the improvements would also lead to increased employment opportunities in areas such as construction, plumbing and rubbish disposal. It is time for politicians to come to the aid of the people who elected them!

Planning Your Own "Problem-Solution" Essay1. Choose a problem (or set of problems) for your own essay. The following are a few examples of the sort of problems you might consider. Feel free to think of your own, but please discuss it with me first.
global pollution
the lack of lunchtime activities at UWCSEA
problems with the canteen
problems with bags and lockers
endangered species
the destruction of rainforests2. Make notes to identify the problem/s. For example, notes for the "Shanty Town" essay would start like this:
PROBLEMS
SOLUTIONS
no piped water (drinking + bathing water are dirty à diseases)
overcrowded houses, poor ventilation

3. Make a list of the solutions:
PROBLEMS
SOLUTIONS
no piped water (drinking + bathing water are dirty à diseases)
overcrowded houses, poor ventilation
­ govt. provide piped water
­ govt. help householders to build better houses)
(Of course, these notes are fairly brief. Your actual essay will expand the points by adding far more details/examples.)4. Write a first draft of your essay. Aim for clear, simple sentences. Use linking words/phrases if appropriate. Remember to use separate paragraphs for problems and solutions, as well as a final paragraph for your justification and call for action.
5. Share your essay with someone. Review it. Rewrite it. Edit it.

Time clauses

We use these words (before, after, while and when) to introduce time clauses to tell when something happens.
Rudy washed the floor before he watched the soccer match. Rudy washed the floor after the soccer match. Rudy washed the floor when the soccer match ended. Rudy washed the floor while he was watching the soccer match.
In all of these cases, Rudy washed the floor. However, we have to look at the time clauses to see when the floor was washed.
Time clauses:
before he watched the soccer match

after the soccer match

when the soccer match ended

while he was watching the soccer match
In all of these examples, the main (independent) clause is "Rudy washed the floor". The time clause simply states the relationship of other actions (watching the soccer match) to the activity in the main clause.
Let's analyze the time sequence--with another example.
The phone rang after we ate dinner. (First we ate our meal, and then the phone rang.)
The phone rang before we ate dinner. (First the phone rang, and then we ate.)
The phone rang when we started dinner. Also: The phone rang as we ate dinner. (We started to eat and the phone rang at the same time.)
The phone rang while we were eating dinner. Also: The phone rang as we were eating dinner. (This is the same as above, but with the progressive tense [-ing]).
The Grammar
Independent clause
Dependent clause
The phone rang
before we ate dinner.
The phone rang is an independent clause. It can stand alone grammatically.
before we ate dinner is a dependent clause. It needs an independent clause to be a complete sentence. It is a sentence fragment when it is used alone.
Punctuation
The phone rang before we ate dinner.
Before we ate dinner, the phone rang.
When the independent clause comes first in the sentence, no comma is needed. When the dependent clause comes first in the sentence, the clauses are separated by a comma.
Different verb tenses
Look at these verb tenses:
two past tense events
It started to rain before I got home.

Jaime had a drink before he played tennis.

modal auxiliary and present tense
I have to get home before it starts of rain.

Jaime has to have a drink before he plays tennis.

two past tense events
Henry went to the movie after he had dinner

Prof. Simon gave a test after the spring break ended.

modal auxiliary and present tense
Henry may go to the movie after he has dinner.

Secretary Simon ought to negotiate with the rebels before the situation gets out of hand.

an on-going event interrupted by a single event in the past
Myra was reading a book when the phone rang.
past tense cause and effect
Myra had to get up when the phone rang.
two past tense events
Ben asked for a ride when Myra answered the phone.
two future events
Myra will leave to pick up Ben when she hangs up.
two past tense continuous activities
I was listening carefully while the manager was explaining the problem.
one past tense continuous event interrupted by single action
The doorbell rang while I was taking a shower.
Cause and Effect
You can use when or after to explain some cause and effect situations.
Effect: He got a flat tire (puncture). Cause: He ran over some glass.
He got a flat tire after he ran over some glass. After he ran over some glass, he got a flat tire.
Cause: It rained. Effect: Our paint job was ruined.
When it rained, our paint job was ruined. Our paint job was ruined when it rained.

Indicating importance

In the affirmative have to / must both express the idea of obligation.(It is necessary that you do something.) However, must is only used in the present, and is never used after 'will' or 'may.'I must / have to get up early because I start work at 8 a.m. I will must / have to leave work early if the snowstorm continues.In the negative only the verb have to (do/does not have to) expresses the idea of obligation:(It is not necessary that you do something.)You don't have to pay for children. They can come in for free.In the negative must (must not / mustn't) is similar to an imperative: Do not do something:You mustn't smoke in the corridors. (= Don't smoke in the corridors.)

-ing forms

The –ing form can be used like a noun, like an adjective or like a verb.
Smoking is forbidden.
I have a long working day.
I don't like dancing.
When it is used like a noun it may or may not have an article before it.
Marketing is a very inexact science.
The marketing of the product will continue for a few months yet.
It can also be part of a 'noun phrase'.
Speaking to an audience is always stressful.
Swimming after work is very relaxing.
In formal English, we would use a possessive with the –ing form. In informal English, many people do not.
I'm angry about his missing the meeting.
Do you mind my coming?
As an adjective, the –ing form can be used before a noun.
I was met by a welcoming party at the airport.
Let's go to the meeting room.
The –ing form is used after prepositions.
Before leaving, you need to speak to Sarah.
After discussing it with her, I've changed my mind.
Instead of feeling sorry for yourself, do some work for charity.
Notice that when 'to' is used as a preposition, it is followed by the –ing form.
I don't object to working this Sunday.
I'm looking forward to seeing him again.
I'm used to working long hours.
There are many verb + -ing combinations. Here are some common ones:
I admit telling her.
I appreciate having the raise.
I avoid speaking to him.
I consider blowing your nose in public to be wrong.
I delayed coming until the last possible moment.
He denied telling her.
I detest going to parties.
I enjoy dancing.
I feel like having a party.
I've finished writing the report.
I've given up going to the gym.
I can't help thinking about it.
I can't imagine ever leaving this company.
I don't mind doing that.
He put off talking to her as long as he could.
I can't stand drinking beer.
Some verbs can be followed by either the infinitive or –ing form but with different meanings. Here are some common ones:
I stopped smoking last month. (I no longer smoke.)
I stopped to smoke a cigarette. (I stopped what I was doing and had a cigarette.)
I remember telling him. (A memory of the past.)
I must remember to tell him. (Something to remember for the future.)
I'm interested in finding out more details. (Interested about the future.)
I was interested to read his report. (Interested in the past.)
Some verbs can be followed by either the infinitive or –ing form but with the same meaning. Here are some common ones:
I love to go shopping.
I love going shopping.
I'm afraid to fly.
I'm afraid of flying.
I started to learn English 5 years ago.
I started learning English 5 years ago.

Part continuous

หลักการใช้
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่แสดงอาการกำลังกระทำในอดีต เช่น
They were speaking in the bookstore.(พวกเขากำลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ)
She was going to post office.(หล่อนกำลังจะไปที่ทำการไปรษณีย)์
2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่องกันในอดีต เช่น
What were you doing all last summer? (เธอทำอะไรตลอดฤดูร้อนที่แล้วเหรอ?)
I was enjoying myself at the seaside.(ผมรื่นเริงกับการเที่ยวทะเล)
3. เหตุการณ์เกิด 2 เหตุการณ์ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งดำเนินก่อน และเหตุการณ์ที่สองมาแทรก
มีหลักการ คือ เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ใช้ Past Con เหตุการณ์หลังใช้ Past Sim เช่น
When I returned home, she was playing pingpong. (ตอนฉันกลับบ้าน เธอเล่นปิงปองอย)ู่
4. เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต ต้องใช้ Past Con ทั้งคู่ มีคำว่า while หรือ as มาเชื่อม เช่น
I was playing while you were studying. (ฉันกำลังเล่นในขณะที่เธอกำลังเรียน)
5. เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตที่ระบุไว้ชัดเจน เช่น
They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.(พวกเขาทำความสะอาดห้อง 8 โมงเมื่อวาน)
6. ใช้ในการสมมุติ เป็นข้อแม้ การคาดคะเน แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่อง เช่น
What would you do if it was raining? (คุณจะทำอย่างไรถ้าฝนกำลังตก?)

Past simple

หลักการใช้

1) ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำซ้ำๆ เป็นประเพณีและเป็นนิสัย (Repeated actions , customs and habits)

- He visits his family every weekend. (repeated action)

- Ethiopians celebrate Christmas on 7 January. (custom)

- He goes to be at nine o'clock every night. (habit)

2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ (universal truth)

- The earth goes round the sun.

- The sun rises in the east and sets in the west.

- The sun shines by day ; the moon shines by night.

3) ใช้กับความสามารถ (ability)

- He plays the guitar very well.

- That man speaks English as well as he speaks his own language.

4) ใช้แทน Future หลังคำ if , unless, in case ในขณะที่ประโยคเงื่อนไข และคำ when , until, as soon as, before , after

- If the weather is fine tomorrow , we shall have a picnic.

- We shall go out when the rain stops.

- We can't begin playing as soon as the whistle blows.

- I shall eat before he arrives.

5) คำกริยาบางคน เราจะไม่ใช้รูป present continuous tense แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันก็ตาม เช่น verb to be --- I am late now. กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็น 6 ชนิดคือ

5.1 กริยาที่บ่งภาวะที่บังคับไม่ได้ (verb for states over which we have no control) ได้แก่ กริยา see , hear , feel , taste , smell เช่น

- I see that it is raining again.

- I hear someone knocking at the door.

- This towel feels very soft.

- This soup tastes good.

- His breath smells bad.

5.2 กริยาที่แสดงความนึกคิด (verb for ideas) เช่น know (รู้) , understand (เข้าใจ) , think(คิด) , believe (เชื่อ) , disbelieve (ไม่เชื่อ) , suppose (สมมุติ) , doubt (สงสัย) , agree (เห็นด้วย), disagree (ไม่เห็นด้วย) , realize (ตระหนัก) , considers(พิจารณา) ,notice (สังเกต) , recognize (จำได้) , forget (ลืม) , remember (จำ) , recall (ระลึกได้) เช่น - He now knows as much about the lesson as you do.

- I believe what he is saying is true.

- We agree to his suggestion.

- The teacher considers him as an industrial srtudent.

- I dony recall where I met him. etc.

5.3 กริยาที่แสดงความชอบและความไม่ชอบ (Verbs for liking and disliking) เช่น like (ชอบ) ,dislike (ไม่ชอบ) , love (รัก) , hate (เกลียด) , detest (ชิงชัง) , prefer (ชอบ) ,forgive (ยกโทษ) , trust (ไว้ใจ) , distrust (ไม่ไว้ใจ) เช่น

- I like the movie I saw yesterday.

- She detests people who are unkind to animals.

- We prefer to go out without him.

- I distrust this young lady. etc.

5.4 กริยาที่แสดงความปรารถนา (verbs for wishing) เช่น wish (ปรารถนา) , want (ต้องการ) ,desire (ปรารถนา) เช่น

- He wishes to leave as early as possible.

- She wants to go to Italy.

- We all desire happiness and health.

5.5 กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Verbs of possession) เช่น possess (เป็นเจ้าของ) ,have (มี) , own (เป็นเจ้าของ) , belong to (เป็นของ) เช่น

- He possesses two new cars.

- She has more money than she needs.

- I own several actres of land.

- This bicycle belongs to my brother.

5.6 กริยาเฉพาะบางคำ (Certain other verbs) เช่น be (เป็น อยู่ คือ) , appear (ปรากฎ) ,seem (ดูเหมือน) , mean (หมายความว่า) , please (พอใจ) , displease (ไม่พอใจ) ,differ (แตกต่าง) , depend (ขึ้นอยู่กับ , พึ่งพา) , resemble (ดูเหมือน) , deserve(สมควรได้รับ) , refuse (ปฏิเสธ) , result (ส่งผลให้) , suffice (พอเพียง) , consist of(ประกอบด้วย) , contain (ประกอบด้วย) , hold (บรรจุ) , fit (เหมาะสม คู่ควร) , suit (เหมาะสม) เช่น

- She is very selfish.

- He resembles his father.

- She refuses to marry him.

- New Zealand consists of two islands.

- The pink dress she is wearing suits her. ......etc...

6. ใช้กับ adverbs of time ดังต่อไปนี้ often (บ่อยๆ) , always (เสมอๆ) , sometimes (บางครั้ง) , usually (โดยปกติ) , generally (โดยปกติ),normally (โดยปกติ) , frequently (บ่อยๆ) , rarely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครั้ง) , seldom (แทบจะไม่เคยนานๆครั้ง) , scarcely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครั้ง) , hardly (แทบจะไม่เคย) , never (ไม่เคย) ,in general (โดยปกติ) , now and again (บางครั้งบางคราว) , from time to time (บางครั้งบางคราว)occasionally (บางโอกาส) , as a rule (ตามกฎ) , once a week (สัปดาห์ละครั้ง) , once a month(เดือนละครั้ง) , twice a week (สองครั้งต่อสัปดาห์) , three times a week (สามครั้งต่อสัปดาห์) ,every day (ทุกวัน) , every other day (วันเว้นวัน) , every (night / month, week/year/Thursday) เช่น

- He is never late for school.

- He always studies grammar in the morning.

- She visits her parents every month.

Active / Passive Verb Forms

Sentences can be active or passive. Therefore, tenses also have "active forms" and "passive forms." You must learn to recognize the difference to successfully speak English.
Active Form
In active sentences, the thing doing the action is the subject of the sentence and the thing receiving the action is the object. Most sentences are active.
[Thing doing action] + [verb] + [thing receiving action]
Examples:
Passive Form
In passive sentences, the thing receiving the action is the subject of the sentence and the thing doing the action is optionally included near the end of the sentence. You can use the passive form if you think that the thing receiving the action is more important or should be emphasized. You can also use the passive form if you do not know who is doing the action or if you do not want to mention who is doing the action.
[Thing receiving action] + [be] + [past participle of verb] + [by] + [thing doing action]
Examples:
Active / Passive Overview

Active

Passive
Simple Present
Once a week, Tom cleans the house.
Once a week, the house is cleaned by Tom.
Present Continuous
Right now, Sarah is writing the letter.
Right now, the letter is being written by Sarah.
Simple Past
Sam repaired the car.
The car was repaired by Sam.
Past Continuous
The salesman was helping the customer when the thief came into the store.
The customer was being helped by the salesman when the thief came into the store.
Present Perfect
Many tourists have visited that castle.
That castle has been visited by many tourists.
Present Perfect Continuous
Recently, John has been doing the work.
Recently, the work has been being done by John.
Past Perfect
George had repaired many cars before he received his mechanic's license.
Many cars had been repaired by George before he received his mechanic's license.
Past Perfect Continuous
Chef Jones had been preparing the restaurant's fantastic dinners for two years before he moved to Paris.
The restaurant's fantastic dinners had been being prepared by Chef Jones for two years before he moved to Paris.
Simple Futurewill
Someone will finish the work by 5:00 PM.
The work will be finished by 5:00 PM.
Simple Futurebe going to
Sally is going to make a beautiful dinner tonight.
A beautiful dinner is going to be made by Sally tonight.
Future Continuouswill
At 8:00 PM tonight, John will be washing the dishes.
At 8:00 PM tonight, the dishes will be being washed by John.
Future Continuousbe going to
At 8:00 PM tonight, John is going to be washing the dishes.
At 8:00 PM tonight, the dishes are going to be being washed by John.
Future Perfectwill
They will have completed the project before the deadline.
The project will have been completed before the deadline.
Future Perfectbe going to
They are going to have completed the project before the deadline.
The project is going to have been completed before the deadline.
Future Perfect Continuouswill
The famous artist will have been painting the mural for over six months by the time it is finished.
The mural will have been being painted by the famous artist for over six months by the time it is finished.
Future Perfect Continuousbe going to
The famous artist is going to have been painting the mural for over six months by the time it is finished.
The mural is going to have been being painted by the famous artist for over six months by the time it is finished.
Used to
Jerry used to pay the bills.
The bills used to be paid by Jerry.
Would Always
My mother would always make the pies.
The pies would always be made by my mother.
Future in the PastWould
I knew John would finish the work by 5:00 PM.
I knew the work would be finished by 5:00 PM.
Future in the PastWas Going to
I thought Sally was going to make a beautiful dinner tonight.
I thought a beautiful dinner was going to be made by Sally tonight.